
1. if พื้นฐาน
if (เงื่อนไข) {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
}
ตัวอย่าง:
int x = 10;
if (x > 5) {
std::cout << "x มากกว่า 5" << std::endl;
}
2. if-else
if (เงื่อนไข) {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
} else {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
}
ตัวอย่าง:
int age = 18;
if (age >= 18) {
cout << "คุณเป็นผู้ใหญ่" << endl;
} else {
cout << "คุณเป็นเยาวชน" << endl;
}
3. if-else if-else
if (เงื่อนไข1) {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไข1 เป็นจริง
} else if (เงื่อนไข2) {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไข2 เป็นจริง
} else if (เงื่อนไข3) {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไข3 เป็นจริง
} else {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อไม่มีเงื่อนไขใดเป็นจริง
}
ตัวอย่าง:
int score = 75;
if (score >= 80) {
cout << "เกรด A" << endl;
} else if (score >= 70) {
cout << "เกรด B" << endl;
} else if (score >= 60) {
cout << "เกรด C" << endl;
} else {
cout << "เกรด F" << endl;
}
4. Nested if (if ซ้อน if)
if (เงื่อนไข1) {
if (เงื่อนไข2) {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อทั้งเงื่อนไข1 และ เงื่อนไข2 เป็นจริง
} else {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไข1 เป็นจริง แต่เงื่อนไข2 เป็นเท็จ
}
} else {
// คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไข1 เป็นเท็จ
}
ตัวอย่าง:
int x = 10, y = 5;
if (x > 0) {
if (y > 0) {
cout << "x และ y เป็นบวก" << endl;
} else {
cout << "x เป็นบวก แต่ y ไม่เป็นบวก" << endl;
}
} else {
cout << "x ไม่เป็นบวก" << endl;
}
5. ตัวดำเนินการเงื่อนไข (Conditional Operator)
(เงื่อนไข) ? คำสั่งเมื่อจริง : คำสั่งเมื่อเท็จ;
ตัวอย่าง:
int x = 10;
string result = (x > 5) ? "มากกว่า 5" : "น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5";
cout << result << endl;
หมายเหตุ:
- เงื่อนไขใน if ควรอยู่ในวงเล็บ ()
- ถ้ามีคำสั่งเดียว สามารถละวงเล็บปีกกา {} ได้
- ระวังการใช้ = แทน == ในเงื่อนไข (= คือการกำหนดค่า, == คือการเปรียบเทียบ)
- สามารถใช้ && (และ), || (หรือ), ! (ไม่) ในการสร้างเงื่อนไขที่ซับซ้อนขึ้น